เรียนรู้
CDP เทียบกับ DMP: แตกต่างกันอย่างไร
CDP (แพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า) และ DMP (แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูล) มีให้บริการฟรี
CDP ช่วยทำให้การผสานรวมข้อมูลจากตัวลูกค้าเองง่ายดายยิ่งขึ้นสำหรับ DMP เพื่อปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายโฆษณา และ DMP ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ข้อมูล CDP เพื่อการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดยหลักแล้ว DMP จะเน้นไปที่ข้อมูลทางอ้อมจากแหล่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ CDP จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลทั้งหมด รวมถึงข้อมูลจากตัวลูกค้าเองด้วย CDP จะเน้นไปที่การตลาดในทุกๆ ด้าน ในขณะที่ DMP ได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้ลงโฆษณาและเอเจนซี่โดยเฉพาะเพื่อปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายโฆษณา
DMP เพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่ทำให้คุณมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่งของคุณ จุดประสงค์ทั้งหมดของ DMP คือการช่วยให้นักการตลาดสามารถทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตนได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนั่นเอง สุดท้ายแล้ว DMP เกี่ยวข้องกับการแพ็คเกจและรีแพ็คเกจข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาจะมีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากมีโอกาสในการรวบรวมข้อมูลที่ไม่มีการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าใช้กลุ่มเป้าหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นบน DMP เพื่อทำการโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอล
ข้อเสียก็คือ:
DMP ไม่สามารถจัดเก็บ PII (ข้อมูลที่บ่งชี้ตัวตนได้)
เหตุผลที่ชัดเจนเลยก็เนื่องมาจาก DMP เกี่ยวข้องกับการแชร์กลุ่มเป้าหมาย
DMP ไม่สามารถช่วยให้ลูกค้าแยกความแตกต่าง
โดยธรรมชาติแล้ว DMP ก็คือสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความแตกต่างแต่อย่างใด และแม้ว่าจะเป็นองค์ประกอบที่ช่วยทำให้ข้อมูลลูกค้าสมบูรณ์ก็ตาม (เพื่อที่คุณจะสามารถทำความรู้จักลูกค้าของคุณได้มากขึ้น) แต่คู่แข่งของคุณเอง รวมถึงลูกค้าคนอื่นๆ ทั้งหมดของ DMP ก็สามารถเรียกดูข้อมูลที่เหมือนกันนี้ได้เช่นกัน
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CDP ของ Treasure Data ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้าและที่เก็บส่วนกลางที่ดีที่สุดที่รวมข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง เว็บไซต์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เครื่องมือการวิเคราะห์ การทำให้การตลาดเป็นแบบอัตโนมัติ ช่องทางการโฆษณา, IoT, POS และข้อมูลอื่นๆ ไว้ด้วยกัน ทำให้การเข้าถึงแหล่งข้อมูลจริงที่เชื่อถือได้แหล่งเดียวของทีมการตลาดง่ายดายยิ่งขึ้น อีกทั้งหน่วยธุรกิจของคุณทั้งหมดก็เข้าถึงแหล่งข้อมูลนี้ได้เช่นกัน
CDP เทียบกับ DMP
ข้อมูลจาก CDP Institute:
“CDP ทำงานกับบุคคลที่ไม่เปิดเผยตัวตนและที่เป็นที่รู้จัก โดยการเก็บ “ข้อมูลที่บ่งชี้ตัวตนได้” เช่น ชื่อ ที่อยู่ ที่อยู่อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ ขณะที่ DMP ทำงานกับข้อมูลที่ไม่เปิดเผยตัวตนโดยเฉพาะเกือบทั้งหมด เช่น คุกกี้ อุปกรณ์ และที่อยู่ IP ที่จริงแล้ว การไม่เปิดเผยตัวตนมีความสำคัญต่อบทบาทของ DMP เนื่องจากเป็นวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ CDP มักจะรวมเข้ากับระบบการโฆษณามากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการจัดเก็บข้อมูลในประเภท DMP มากขึ้น เช่น รหัสคุกกี้พร้อมกับแท็กกลุ่มเป้าหมาย DMP บางส่วนยังจัดเก็บรหัสบ่งชี้ส่วนบุคคลอีกด้วย แม้ว่ารหัสบ่งชี้เหล่านี้จะถูกแยกออกจากสถานการณ์ที่ยังจำเป็นต้องไม่เปิดเผยตัวตนอย่างระมัดระวังก็ตาม แต่การเพิ่มรหัสบ่งชี้ส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ได้มอบความสามารถในการจับคู่รหัสบ่งชี้ขั้นสูงและที่จัดเก็บข้อมูลที่ยืดหยุ่นที่มีอยู่ใน CDP แก่ DMP อยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ DMP ส่วนใหญ่จะมีความสามารถเทียบเท่าฟังก์ชันการทำงานของ CDP ได้อย่างเต็มรูปแบบ”
CDP
- กรณีการใช้งานเกี่ยวกับการตลาดทั้งหมด: การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า รวมกับระบบการดำเนินการทั้งหมด รวมถึง Adtech (เทคโนโลยีการโฆษณา)
- ประเภทข้อมูลสำหรับการจัดการข้อมูลจากลูกค้าโดยตรงโดยมีข้อมูลทางอ้อมจากแหล่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อย
- โดยหลักแล้ว รหัสบ่งชี้โปรไฟล์จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะของลูกค้าที่ชัดเจน (PII) – รหัสลูกค้า ชื่อ อีเมล ที่อยู่ เป็นต้น
- การเก็บรักษาข้อมูลมักจะเป็นการเก็บรักษาข้อมูลในระยะยาวเพื่อให้สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลตลอดระยะเวลาการเป็นลูกค้า
DMP
- กรณีศึกษาเฉพาะการโฆษณา: การกำหนดเป้าหมายโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพการซื้อสื่อ
- ประเภทข้อมูลสำหรับการจัดการข้อมูลทางอ้อมจากแหล่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง (ที่ไม่เปิดเผยตัวตน) เพียงเล็กน้อย
- โดยหลักแล้ว รหัสบ่งชี้โปรไฟล์จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรหัสบ่งชี้ดิจิตอลที่ไม่เปิดเผยตัวตน (ไม่ใช่ PII) – คุกกี้, ID, IDFA เป็นต้น
- การเก็บรักษาข้อมูลมีระยะเวลาการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น เนื่องจากกรณีใช้งานหลักๆ คือการกำหนดโฆษณาเป้าหมาย
5 เหตุผลที่ควรเลือก CDP มากกว่า DMP
การจัดเก็บข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง รวมถึง PII (ข้อมูลที่บ่งชี้ตัวตนได้)
กรณีการใช้งาน: การจับคู่รหัสบ่งชี้ลูกค้า
CDP
- จัดเก็บข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง ข้อมูลจากผู้จัดเก็บข้อมูล และข้อมูลทางอ้อมจากแหล่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูล PII ที่ไม่เปิดเผยตัวตน (เช่น ชื่อ ที่อยู่ อีเมลและหมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้าแต่ละคน) CDP จะรวมเข้ากับระบบการโฆษณา และสามารถจัดเก็บข้อมูลในประเภท DMP เช่น รหัสคุกกี้พร้อมกับแท็กกลุ่มเป้าหมาย
DMP
- DMP ไม่สามารถรองรับข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง และทำงานร่วมกับข้อมูลที่ไม่เปิดเผยตัวตนโดยเฉพาะเกือบทั้งหมดเท่านั้น เช่น คุกกี้ อุปกรณ์ และที่อยู่ IP การไม่เปิดเผยตัวตนมีความสำคัญต่อบทบาทของ DMP เนื่องจากเป็นวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล บาง DMP ยังจัดเก็บรหัสบ่งชี้ส่วนบุคคลด้วย แต่การเพิ่มรหัสบ่งชี้ส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ได้มอบความสามารถในการจับคู่รหัสบ่งชี้ขั้นสูงที่มีอยู่ใน CDP แก่ DMP อยู่ดี
ที่จัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์เพียงที่เดียว
กรณีการใช้งาน: การสืบค้นที่ยืนหยุ่นและรวดเร็ว
CDP
- ข้อมูล CDP ถูกจัดเก็บไว้ในที่ที่ปรับขยายได้เพียงที่เดียว ทำให้การอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดพร้อมกันทำได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น
DMP
- DMP มีที่จัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันสองที่ – ที่จัดเก็บหนึ่งมีไว้จัดเก็บข้อมูลทั้งหมด และอีกที่หนึ่งมีไว้สำหรับการใช้ชุดย่อยของข้อมูลดังกล่าวที่รวดเร็วอย่างมาก แต่ทั้งสองที่นี้แยกออกจากกัน
ข้อมูลดิบโดยละเอียดพร้อมความจุการจัดเก็บที่ไม่จำกัด
กรณีการใช้งาน: การวิเคราะห์ในเชิงลึกที่หลากหลาย
CDP
- CDP จะเก็บข้อมูลดิบพร้อมรายละเอียดในระดับที่เล็กมากๆ และจัดเก็บข้อมูลประวัตินี้โดยมีความจุที่ไม่จำกัด นอกจากนี้ข้อมูลยังถูกรวบรวมเพื่อจัดเก็บในระยะยาวและถาวร อีกทั้งรองรับข้อมูลในหลายรูปแบบ โดยไม่มีการจัดหมวดหมู่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
DMP
- DMP จะรวบรวมข้อมูลเช่นเดียวกับเครื่องมือการตลาดที่เน้นการทำธุรกรรมทั่วไป พร้อมด้วยแท็ก, API และการอัปโหลด ดังนั้นมุมมองผลลัพธ์ที่ได้จึงมักจะเป็นมุมมองระดับสูงและมุมมองแบบรวม ด้วยเหตุนี้ DMP และเครื่องมือการทำธุรกรรมส่วนใหญ่จึงรักษาข้อมูลผู้ใช้เป็นระยะเวลาน้อยกว่า 90 วัน
การประยุกต์ใช้ในทั้งกลุ่มเทคโนโลยีการตลาด
กรณีการใช้งาน: การใช้งานนอกเหนือจากการโฆษณา
CDP
- CDP สามารถรองรับข้อมูลและดึงข้อมูลนั้นๆ ได้ทุกที่ที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่คำนึงว่าระบบอื่นๆ จะอยู่ในตำแหน่งใดของวงจรการเป็นลูกค้า (หรือองค์กรทางการตลาด) ซึ่งสามารถขายข้อมูลให้กับพันธมิตรทุกประเภทไม่ว่าจะอยู่ฝั่งที่รู้จักหรือไม่เปิดเผยตัวตน – เทคโนโลยีการโฆษณาหรือเทคโนโลยีการตลาด ทั้งนี้อาจหมายถึงการส่งต่อส่วนต่างๆ ของข้อมูลจากลูกค้าโดยตรงที่หลากหลายไปยัง Facebook สำหรับกระบวนการสรรหากลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะเช่นเดียวกับฐานลูกค้าที่มีอยู่หรือการกำหนดเป้าหมายใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขั้นตอนอื่นๆ ในกระบวนการตัดสินใจซื้อ
DMP
- DMP ได้รับการออกแบบมาเพื่อการสร้างเป้าหมายสำหรับการโฆษณาและการตลาดเพื่อหาลูกค้า หรือการรับมือกับลูกค้าใหม่และลูกค้าที่ยังไม่รู้จัก ซึ่งอาจมองว่าเป็นพูลของคุกกี้ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อยกระดับการกำหนดเป้าหมายการแสดงโฆษณา DMP ไม่สามารถช่วยให้ลูกค้าสร้างความแตกต่างได้: โดยธรรมชาติแล้ว DMP ก็คือสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความแตกต่างแต่อย่างใด และแม้ว่าจะเป็นองค์ประกอบที่ช่วยทำให้ข้อมูลลูกค้าสมบูรณ์ก็ตาม (เพื่อที่คุณจะสามารถทำความรู้จักลูกค้าของคุณได้มากขึ้น) แต่คู่แข่งของคุณเองที่เป็นลูกค้าของ DMP ก็สามารถเรียกดูข้อมูลที่เหมือนกันนี้ได้เช่นกัน
โปรไฟล์ลูกค้าที่สมบูรณ์
กรณีการใช้งาน: ปรับประสบการณ์การเป็นลูกค้าให้เหมาะกับเฉพาะบุคคล
CDP
- CDP ช่วยให้คุณมีข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประวัติ ตามบริบท สถิติประชากร พฤติกรรม เป็นต้น เพื่อแจ้งการติดต่อสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ตามที่ปรับให้เหมาะสมกับเฉพาะบุคคล ความต่อเนื่องของโปรไฟล์ของลูกค้าแต่ละรายในทุกช่องทางและเซสชันจะแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะและโอกาสใหม่ๆ ที่มีอยู่จำนวนมากสำหรับการปรับความเหมาะสมเป็นรายบุคคล
DMP
- โดยพื้นฐานแล้ว โปรไฟล์ผู้ใช้ DMP คือรายการของผู้ใช้และรายการที่เกี่ยวข้องของหมวดหมู่/หมวดหมู่ย่อยที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของผู้ใช้เหล่านั้น DMP สร้างโปรไฟล์ชั่วคราวตามข้อมูลสถิติประชากร รหัสคุกกี้ที่ไม่เปิดเผยตัวตน และข้อมูลที่ทำแพ็คเกจและรีแพ็คเกจจากลูกค้าคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ทั้งนี้ไม่สามารถยกเลิกการปิดบังตัวตนได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแชร์ข้อมูลทางอ้อมจากแหล่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะไม่สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้ที่ต่อเนื่องหรือช่วยแก้ไขจากผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนให้เป็นการแสดงตัวตนที่รู้จัก นอกจากนี้ การตัดสินใจโดยใช้ DMP ก็มักจะซ่อนอยู่ภายใน “กล่องดำ“ ของกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาจะมีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ
เราเข้าใจดีว่าบริษัท 2 บริษัทย่อมมีวิธีดำเนินกิจการแตกต่างกัน ทีมบริการระดับมืออาชีพของเราสามารถช่วยคุณปรับแต่งการกำหนดค่าทางออกในการแก้ปัญหาที่จัดการด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากฝ่ายไอที อีกทั้งพนักงานช่วยเหลือสนับสนุนทางเทคนิคที่มีความใส่ใจอย่างมากก็พร้อมให้ความช่วยเหลือคุณทุกเมื่อที่คุณต้องการ